PRADAการ เกิดของผลิตภัณฑ์ Prada ครั้งแรกนั้น โด่งดังมาจาก สินค้าประเภทเครื่องหนัง จากร้านเล็กๆ ในเมืองมิลาน เมื่อปี 1913 ชื่อแบรนด์ของสินค้านั้น มาจาก ชื่อของ Muiccia Prada และมันก็ยังเป็นที่รู้จัก ในนามผู้นำ แฟชั่น มีชื่อมาจนถึง ทุกวันนี้ โดยคู่แข่งของ Prada นั้นได้แก่ Christian Dior, Gucci, Chanel, Dolce & Gabbana และ Giorgio Armaniจริงๆแล้ว การเกิดขึ้นของ Prada นั้นเริ่มต้นใช้ชื่อว่า Fratelli Prada มาก่อน โดย Leanne Le Pradaใน ปี 1890 Prada ในยุค บุกเบิกมีการกีดกัน ญาติพี่น้อง ที่เป็นเพศหญิง ไม่ยอมให้เข้ามายุ่ง ในธุรกิจของตน จนถึงรุ่นของ Muiccia Prada ผู้หญิงจึงได้ เข้ามาบริหารร้าน และทำให้ชื่อ Prada โด่งดังที่สุดในปี 1978 โดยมียอดขาย ที่ทำได้ถึง สี่แสนเหรียญสหรัฐ กันเลยทีเดียวโดย Muiccia โชคดี ที่ได้รู้จักกับ Patrizio Bertelli แล้วนำสินค้าเครื่องหนัง ของ Bertelli มาปรับปรุงติดแบรนด์ เป็นของตนเอง ทั้งสองทำงานกัน อย่างบ้าคลั่ง และยึดเอา ตลาดแฟชั่นชั้นสูง ในยุโรปเป็นของตนเอง เสียราบคาบ ในเวลาอันรวดเร็ว โดยการออก ผลิตภัณฑ์ แฟชั่นกระเป๋าถือ เป็นครั้งแรกในปี 1985 จนมีชื่อเสียงโด่งดังมาก แล้ว Muiccia และ Bertelli ก็แต่งงานกัน ในอีกสองปีต่อมา
ใน ปี 1989 สองสามีภรรยา ก็ได้ออกชุด แฟชั่นเสื้อผ้าพร้อมใส่ เป็นครั้งแรก สินค้าชิ้นต่างๆ ที่ออกตลาด ล้วนประสบความสำเร็จ ทำให้ยอดขายในปี 1990 พุ่งเป็น $31 เหรียญล้านสหรัฐ และ $674 ล้านเหร๊ยญสหรัฐ ในปี 1997 โดยคาดว่าในปี 2010 ทรัพสินของ Prada จะมีมูลค่าถึง $5 พันล้านเหรียญสหรัฐPrada แบรนด์ที่มีเอกลักษณ์ของสไตล์ที่ล้ำสมัย มุ่งมั่น แต่ยังคงไว้ซึ่งมาตรฐานแห่งความสง่างาม
ประเภทของการจัดแสดงสินค้า
การจัดแสดงสินค้าสามารถจัดได้หลายพื้นที่ของร้านค้า เช่น ภายในร้านค้า ภายนอกร้านค้า หรือบริเวณหน้าร้านค้าก็ได้ ร้านค้าสามารถใช้การจัดแสดงสินค้าภายในหน้าต่างโชว์ หยุดความสนใจของลูกค้าเพื่อให้เดินเข้ามาในร้านค้าใช้การจัดแสดงสินค้าภายในร้านเป็นตัวเร่งให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อสินค้าเร็วขึ้นและใช้การจัดแสดงสินค้าภายนอกร้านค้าในการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับร้านค้า
ประเภทของการจัดแสดงสินค้า
การจัดแสดงสินค้าสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทคือ
1. การจัดแสดงสินค้าในหน้าต่างโชว์หน้าร้าน ( Window Display )
การจัดแสดงสินค้าในหน้าต่างโชว์หน้าร้านถือเป็น “ ดวงตา ” ของร้านที่จะคอยดึงดูดความสนใจจากลูกค้า แบ่งได้เป็น 3 แบบคือ
1.1 หน้าต่างโชว์แบบเดียวหรือแบบแบนราบ ( Single Display ) เป็นการจัดแสดงสินค้าไว้ด้านหลังของผนังด้านหน้าของร้านค้าซึ่งเป็นกระจกแบนราบ สามารถมองเห็นได้เพียงด้านหน้าเพียงด้านเดียว
1.2 หน้าต่างโชว์แบบมุม ( Corner Display ) การจัดแสดงได้ 2 ด้าน เป็นการจัดส่วนมุมด้านหน้าของร้านค้า โดยใช้ผนังด้านหน้าและด้านข้างของร้านทามุมจัดเป็นหน้าต่างโชว์
1.3 หน้าต่างโชว์แบบแกะ ( IsIand Display ) เป็นการจัดแสดงที่เปิดโอกาสให้ผู้พบเห็นสามารถมองเห็นสินค้าได้ หากการจัดแสดงสินค้าแบบนี้ต้องมีพื้นที่กว้างขวาง
เหตุผลที่ต้องมีการจัดแสดงสินค้าในหน้าต่างโชว์หน้าร้าน
1. สร้างความสะดุดตาแก่ผู้พบเห็น ร้านค้าต้องเรียกความสนใจจากผู้พบเห็น หากสร้างความสะดุดตาแก่ผู้พบเห็นได้และรวดเร็วเพียงใดก็จะทาให้ลูกค้าเดินเข้าร้านและซื้อสินค้าในที่สุด
2. แสดงให้เห็นถึงย่านหรือบริเวณที่ทาให้ลูกค้ามุ่งซื้อมากขึ้น ปัจจุบันร้านค้าที่เราจาหน่ายสินค้าประเภทเดียวกันมักตั้งอยู่ที่เดียวกัน เช่น ร้านจาหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าวัดตึก
3. สามารถจัดสินค้าได้ตามฤดูกาล การจะเปลี่ยนแปลงการจัดแสดงสินค้าตามฤดูกาลหรือตามเทศกาลต่างๆ
หลักเบื้องต้นของการจัดแสดงสินค้าในหน้าต่างโชว์หน้าร้าน
1. วางแผนการจัดแสดงสินค้าล่วงหน้า จานวนสินค้าที่จะจัดแสดงต้องเพียงพอต่อความต้องการของลูกค้า
2. เน้นสินค้าที่กาลังอยู่ในความต้องการ ควรเป็นสินค้าที่มีอัตราการขายที่รวดเร็ว เลือกสินค้าที่มีสิ่งจูงใจ
3. ควรทันต่อเห็นการณ์ เช่น ตามเทศกาล ฤดูกาล แฟชั่น
4. การจัดแสดงสินค้าต้องแสดงให้เห็นถึงคุณสมบัติของร้านค้า จัดแสดงที่มีความเหมาะสมกับขนาดของหน้าต่างโชว์
5. ต้องเลือกสรรสินค้าที่จัดแสดงอย่างรอบคอบ บางครั้งจะเกิดปัญหาว่าจะเลือกสินค้าตัวใดมาจัดแสดง
6. ควรให้แสงสว่างอย่างพอเหมาะ ในหน้าต่างตู้โชว์ควรให้เหมาะสมกับลักษณะการจัดแสดงสินค้า
7. การรักษาความสะอาด เป็นสิ่งสาคัญทั้งการจัดแสดงสินค้า หน้าร้านหรือหน้าต่างโชว์หน้าร้าน อย่าให้มีคราบฝุ่นละอองเพราะอาจจะทาให้สินค้าเก่า
8. การจัดแสดงสินค้าในหน้าต่างตู้โชว์หน้าร้านต้องน่าสนใจและดึงดูดใจ จะต้องมีการเอาสี เอาแสงมาใช้ในการจัดแสดง
9. วัสดุที่ใช้ต้องสร้างความมั่นใจ เลือกวัสดุอุปกรณ์ประกอบให้เหมาะสมกับตัวสินค้า
10. การจัดแสดงสินค้าต้องเป็นการให้ข่าวสารเกี่ยวกับสินค้าได้ทันทีที่พบเห็น สินค้าที่ต้องการการจัดแสดงควรให้เด่นกว่าสินค้าอื่น
11. การจัดแสดงต้องสร้างความประทับใจ
2. การจัดแสดงสินค้าภายในร้าน ( Interior Display )
การจัดแสดงสินค้าภายในหน้าต่างโชว์หน้าร้านที่เด่นสวยงาม สะดุดตาสามารถหยุดสายตาและเรียกร้องความสนใจของลูกค้า แบ่งได้เป็น 6 ประเภท ได้แก่
2.1 การจัดแสดงสินค้าบนเคาน์เตอร์ ( Top of Counter Display ) การจัดแสดงสินค้าบนโต๊ะ
2.2 การจัดแสดงสินค้าแบบเปิด ( Open Display ) นาสินค้าขึ้นมาขายหรือจัดวางบนโต๊ะ บนชั้นวางของ
2.3 การจัดแสดงสินค้าแบบปิด ( Closed Display ) การที่จัดวางสินค้าแบบอยู่ในเคาน์เตอร์
2.4 การจัดแสดงสินค้าบนผนัง ( Wall Display ) การวางสินค้าการใช้พื้นที่ทุกตารางนิ้วให้เกิดประโยชน์สูงสุด
2.5 การจัดแสดงสินค้าแบบแขวน ( Hanging Display ) การนาเอาสินค้าไปแขวนไว้กับราวหรือหมุดยึดที่แข็งแรงและแน่นหนา
2.6 การจัดแสดงสินค้าเชิงสถาปัตยกรรม ( Archeteetural Display ) เหมือนการจัดแบบสถานที่จริง เช่น การจัดห้องนอน ห้องรับแขก
ลักษณะการจัดแสดงสินค้าในหน้าต่างโชว์
1. หน้าต่างโชว์แสดงสินค้าอย่างเดียว ( One Item Window ) อาจจะเป็นสินค้าชิ้นเดียวชิ้นใหญ่จัดแสดงให้ดูสะดุดตา
2. หน้าต่างโชว์แสดงสินค้าที่สัมพันธ์กันเป็นชุด ( Related Merchandise in Theme Window ) เช่นชุดเครื่องประดับ มีนาฬิกา จี้ แหวน ต่างหู
3. หน้าต่างโชว์แสดงสินค้าที่สัมพันธ์กันต่างชุด ( Related Merchandise not in Theme Window) ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นพวกสินค้าเครื่องเรือน ของตกแต่งบ้าน
4. หน้าต่างโชว์แสดงสินค้าตามประเภท ( Single Line of Goods Window ) เช่น จัดแสดงเครื่องเสียงโซนี่ จะมีหลายยี่ห้อของผู้ผลิตโซนี่ยี่ห้อเดียว
5. หน้าต่างโชว์สินค้าหลายประเภท ( Miscellaneous Window Display ) คือการไม่ได้เป็นผู้แทนจาหน่ายสินค้าของผู้ผลิตรายใดรายหนึ่ง แต่รับจาหน่ายสินค้าต่างๆจากผู้ผลิตหลายๆราย โดยเลือกสินค้าที่กาลังนิยมมาจัดแสดง
6. หน้าต่างโชว์ตามเทศกาล ( Season Window ) ร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ขายสินค้าเฉพาะอย่าง เปลี่ยนแปลงปีละครั้งหรือสองครั้งแล้วแต่ความจาเป็น
7. หน้าต่างโชว์ตามวาระพิเศษ ( Special Feature Window Display ) การจัดแสดงสินค้าตามวาระพิเศษ
3. การจัดแสดงสินค้าภายนอกร้าน ( Exterior Display ) การเอาสินค้าไปจัดแสดงภายนอกร้าน เช่น งานจัดแสดงที่จัดโดยกรมส่งเสริมการส่งออก